-
-
ข่าว เทคโนโลยี
-
การตลาด, ONLINE
-
การเพิ่มผลผลิต
-
IOT, IT, หุ่นยนต์
-
ความปลอดภัย, ISO
-
=ซื้อสินค้า จองอบรมฯ
-
== ร้านค้า รวม
-
== ร้าน 1Dshop
-
=== บทความ ====
-
แผนฝึกอบรม 2025 (Plan 2025)
-
ความปลอดภัย การประเมินความเสี่ยง
-
ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์
-
เสี่ยจวบ (Marketing Case study)
-
JSA การวิเคราะห์งานเพื่อความปลอดภัย
-
KSA เทคนิคการคิดเป็นภาพ
-
5ส กับความปลอดภัยในการทำงาน
-
Research บทความวิจัยของวิทยากร
-
KYT การหยั่งรู้ระวังอันตราย
-
การบำรุงรักษา (perventive Maintenance)
-
หลักสถิติกับพนักงาน
-
มาตรการอนุรักษ์การได้ยิน
-
ISO 9000
-
ISO 14001
-
การออกแบบแผนผังโรงงานอุตสาหกรรม
-
ภาวะผู้นำ หัวหน้า
-
ChatGPT Gemini
-
ISO 45001
-
ISO 50001
-
Arduino ESP32
-
Python Colab Gemini
-
Alisa Ai
-
โรงเรือน เพาะเห็ด หูหนู
-
การยศาสตร์
-
-
-
-
-
อันตรายจากเสียงดัง ส่งผลร้ายถึงขั้นพิการ ไม่มีทางรักษาให้หายได้
อันตรายจากเสียงดัง ส่งผลร้ายถึงขั้นพิการ ไม่มีทางรักษาให้หายได้ ?
อันตรายจากเสียงดัง ส่งผลร้ายถึงขั้นพิการ ไม่มีทางรักษาให้หายได้ ?
มลพิษทางเสียง คือ การที่เราได้ยินเสียงที่ดังเกินไป และระดับความดังมากกว่าที่หูของเราจะรับไหว เสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อประสาทหูนั่นเอง ซึ่งปกติแล้วมลพิษทางเสียงนั้นจะเกิดกับคนที่ทำงานอยู่ในโรงงาน หรือใกล้เครื่องจักรอุตสาหกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะต้องทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังมาก อย่างเช่น โรงงานทอผ้า โรงงานปั๊มโลหะ หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านจราจรคับคั่ง โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้สนามบินมากๆ
ความดังของเสียงที่ดังและนานเกินไป จะเข้าไปทำให้อวัยวะรับเสียง โดยเฉพาะเซลล์ขนและประสาทรับเสียงเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้เราไม่สามารถได้ยินเสียงทั่วไปในสภาวะระดับปกติ หรือที่เรียกกันว่า ‘หูตึง’ นั่นเอง
อีกทั้งถ้าเรายังคงฝืนตัวเองอยู่ในที่ที่มีมลพิษทางเสียง หรือในที่ทำงานเสียงดังอยู่ โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันเสียงดัง ก็จะทำให้เกิดปัญหา หูหนวกตามมาได้เลย ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก จะทำให้เราไม่สามารถได้ยินและติดต่อพูดคุยกับคนอื่นๆ ได้ตามปกติ ทำให้ดำรงชีวิตได้อย่างยากลำบากมากขึ้น กลายเป็นคนพิการที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้…
มลพิษทางเสียง หรือการอยู่ในที่เสียงดัง ส่งผลร้ายต่อร่างกายในส่วนอื่นๆ
นอกจากมลพิษทางเสียงจะทำให้การใช้ชีวิตของเราผิดแปลกไป ทำให้เรากลายเป็นคนพิการ และใช้ชีวิตอย่างไม่มีประสิทธิภาพแล้ว มันยังทำให้ระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายของเราผิดแปลกไปอีกด้วย เช่น เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจากเสียงดังจะเข้าไปทำให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาความดันโลหิตสูง ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ไม่มีสมาธิในการทำงาน ซึ่งอาจนำไปสู่สาเหตุของการเกิดปัญหาความเครียด และกลายเป็นโรคจิต โรคประสาทได้ในที่สุด
ต้องเสียงดังแค่ไหน ถึงจะกลายเป็นมลพิษทางเสียง และทำให้เกิดอันตรายได้?
สำหรับใครที่สงสัยว่าต้องเสียงดังแค่ไหนถึงจะกลายเป็นมลพิษทางเสียงอยู่ละก็ ตอนนี้โลกเราได้มีการกำหนดมาตรฐานสากลขึ้นแล้ว โดยกำหนดให้ความดังของเสียงนั้นต้องไม่เกิน 85 เดซิเบล สำหรับคนที่ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 90 เดซิเบล ถ้าหากทำงาน 4 ชั่วโมงต่อวัน
โดยประเทศไทยเราเองก็มีกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทำงานกับสภาพแวดล้อม กำหนดให้ระดับความดังของเสียงที่พนักงานควรได้รับติดต่อกัน ต้องไม่เกิน 90 เดซิเบล สำหรับคนทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง และสำหรับคนทำงานวันละ 8 ชั่วโมงขึ้นไป ต้องไม่เกิน 80 เดซิเบล ซึ่งคนที่ทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมลพิษทางเสียงแบบนี้ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยินสูง ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงเอาไว้ตลอดเวลา
ความดังของเสียงระดับไหน ที่เริ่มเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายและมลพิษทางเสียง?
การคาดคะเนความดังในระดับเกณฑ์ที่เป็นอันตรายนั้น สามารถทำได้โดยการสังเกตและเปรียบเทียบกับเสียงต่างๆ เหล่านี้
เสียงกระซิบ 30 เดซิเบล
เสียงพิมพ์ดีด 50 เดซิเบล
เสียงคุยทั่วไป 60 เดซิเบล
เสียงรถวิ่ง 80 เดซิเบล
เสียงขุดเจาะถนน 100 เดซิเบล
เสียงค้อนทุบ 120 เดซิเบล
เสียงเครื่องบินขึ้น 140 เดซิเบล
เท่านี้ก็ลองเปรียบเทียบกันดูว่าที่ทำงานเสียงดังมากน้อยแค่ไหน ความดังของเสียงรอบตัวเราเป็นยังไง โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องวัดระดับเสียงก็สามารถทราบได้ว่า ตอนนี้เราอยู่ในสถานที่ที่มีมลพิษทางเสียงแล้วหรือยัง
ป้องกันอันตรายจากมลพิษทางเสียงได้ด้วยวิธีไหนบ้าง?
อันตรายจากมลพิษทางเสียงนั้นมีอยู่มากมายอย่างที่เราได้บอกไป ดังนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องใส่ใจและไม่มองข้ามอันตรายจากมลพิษทางเสียง โดยการป้องกันอันตรายจากมลพิษทางเสียงนั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธีเช่นกัน เริ่มต้นจากการขอความร่วมมือของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สร้างโครงสร้างที่ป้องกันเสียงและใช้วัสดุที่สามารถลดเสียงได้ อีกทั้งการบำรุงรักษาเครื่องจักรให้เกิดเสียงน้อยที่สุดก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้ลดความเสี่ยงในเรื่องของระดับเสียงไปได้
แต่สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับองค์กรและสำหรับพนักงานทุกคนก็คือ การจัดหาและดูแลให้พนักงานได้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงที่ดีและมีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นที่อุดหู หรือที่ครอบหูต่างๆ และบังคับสวมใส่อย่างเข้มงวด ให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายของมลพิษทางเสียง เพื่อปลูกจิตสำนึกให้รู้จักรักและระมัดระวังตัวเอง
ควรที่จะมีการตรวจสอบสมรรถภาพการได้ยินของพนักงานเป็นประจำทุกปี อีกทั้งยังตรวจสอบระดับความดังของสภาพแวดล้อมในที่ทำงานเป็นประจำ เพื่อที่จะได้ทราบถึงความอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับประสาทการรับเสียง และหาทางแก้ไขพร้อมทั้งป้องกันได้อย่างทันท่วงที ซึ่งแน่นอนว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยลดการเกิดเสียงนั้นเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด และได้ประสิทธิภาพมากที่สุด
นอกจากนี้การใช้หูฟังแบบครอบหูแทนหูฟังแบบเสียบในหูก็ถือเป็นการรักษาสุขภาพหูของเราได้อย่างดีเช่นกัน ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่สามารถพูดคุยด้วยระดับเสียงปกติได้ในระยะห่างเพียง 1 ช่วงแขน แสดงว่าระดับเสียงในจุดๆ นั้นดังมากเกินไปนั่นเอง



